
“ไม่ยิ่งใหญ่อย่างใคร แต่ก็ไม่เป็นหนี้และมีเกียรติยศ” นี่อาจจะเป็นวลีที่เหมาะกับทีมอย่าง บาเลนเซีย เมื่อสัก 10-20 ปีก่อน เพราะนี่คือหนึ่งในทีมเล็กที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนสามารถต่อกรกับ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ได้อย่างมันหยดและจบด้วยการคว้าแชมป์ลีกอีกด้วย
จากเกียรติประวัติอันเรืองรอง สร้างสุดยอดนักเตะลูกหม้อขึ้นมามากมาย เหตุใดทุกวันนี้ บาเลนเซีย จึงตกต่ำถึงขีดสุดถึงขั้นที่ประกาศชัดเจนว่า “พวกเขาพร้อมขายนักเตะทุกคนในทีม”
และเรื่องนี้มีคนหนึ่งที่มีเอี่ยวแบบเต็มๆ.. ติดตามเรื่องราวการล่มสลายของวังค้างคาวที่เคยยิ่งใหญ่ได้ที่นี่
ฟ้าผ่าสัญญาณเตือน
บาเลนเซีย ชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือชุดต้นปี 2001/02 ที่คุมทัพโดย ราฟา เบนิเตซ หลังจากนั้นทีมของพวกเขาเริ่มสร้างขุมกำลังจากนักเตะท้องถิ่น รวมถึงการหาเอาดาวเด่นจากทีมเล็กมาปั้นต่อให้เป็นนักเตะระดับโลก ดาบิด ซิลบา, ฮัวฆิน ซานเชซ, บิเซนเต้ โรดริเกซ, ดาบิด บีญ่า, พาโบล เอร์นันเดซ และ ฆวน มาต้า หรือแม้กระทั่ง อิสโก้ คือหนึ่งในนักเตะประเภทนั้น
ฐานของทีมแน่นมากในเวลานั้น นักเตะค่าจ้างไม่แพงแต่ผลงานดี ขายต่อก็ได้เงินก้อนใหญ่ แถมผลงานในสนามก็เข้าที่เข้าทาง พวกเขาคว้าแชมป์ลาลีกาได้ 1 สมัยในปี 2003/04 และแชมป์ยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน) อีกหนึ่งสมัยในซีซั่นเดียวกัน
และเมื่อนั้นพวกเขาก็รู้ว่าทีมควรจะไปได้ไกลกว่านี้ ด้วยการพร้อมลงทุนให้มากกว่าเดิม บาเลนเซียจึงตัดสินใจสร้างสนามให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับแฟนบอล โดยกำหนดไว้ว่าจะใช้ชื่อสนาม “นู เมสตาย่า” และเรื่องนี้คือจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2007
ณ เวลานั้นสโมสรมีแผนจะสร้าง นู เมสตาย่า ให้แล้วเสร็จในเวลา 2 ปี เพื่อให้ทันใช้ในฤดูกาล 2009/10 ซึ่งเป็นปีที่สโมสรมีอายุครบ 90 ปี ทว่าปัญหาใหญ่กว่านั้นคือช่วงเวลาดังกล่าวดันไปคาบเกี่ยวกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หลายชาติในยุโรปโดนเล่นงาน ที่ชัดเจนสุดๆคือ กรีซ ที่เศรษฐกิจหยุดการเติบโตกันเลยทีเดียว และที่สเปนเองก็โดนไม่แพ้กัน
ในตอนนั้น อัตราการว่างงานของประชากรในประเทศสูงขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น เมกกะโปรเจ็คต์ต่างๆของรัฐบาลยังประสบความล่าช้าเนื่องจากขาดงบประมาณ และขนาดโปรเจ็คต์ของภาครัฐยังเจ๊งไม่เป็นท่า ภาคเอกชนอย่างสโมสรฟุตบอลจะไปเหลืออะไร?
ด้วยงบประมาณการก่อสร้างสูงถึงราว 300 ล้านยูโร (ราว 11,000 ล้านบาท) นั่นทำให้ บาเลนเซีย ต้องกู้หนี้ยืมสินมาโปะดอกเบี้ยวุ่นวายกันไปหมด จนทุกวันนี้ นู เมสตาย่า ที่โวไว้ว่าจะเป็นสนามที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสเปนรองจาก คัมป์ นู และ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จง่าย แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 15 ปีเเล้ว
ขณะที่เรื่องราวในสนามก็เข้มข้นและโคลงเคลงไม่ต่างจากปัญหาการเงิน เมื่อในปี 2007 กิเก้ ซานเชซ ฟลอเรส กุนซือของบาเลนเซีย ได้ทะเลาะกับประธานเทคนิคอย่าง อเมดีโอ คาร์บอนี่ ซึ่งเป็นอดีตนักเตะเก่าชุดรุ่งเรืองของทีม ก่อนจะจบลงด้วยการย้ายออกของ คาร์บอนี่.. ไม่มีใครรู้ว่านี่คือการตัดสินใจของใคร แต่ปัญหายังคงดำเนินต่อไป จากนั้นอีกไม่กี่เดือนผู้ชนะสงครามภายในอย่าง ฟลอเรส ก็ทำผลงานแย่จนโดนไล่ออกจากทีมตามกันไป
จากนั้น บาเลนเซีย ก็กลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่ไร้เสถียรภาพในการกำหนดทิศทางของสโมสร แถมโปรเจ็คต์ระยะยาวที่เคยวางไว้ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขาดความต่อเนื่องและการเลือกสรรโค้ชที่เหมาะกับนโยบายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา